วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


สาธารณรัฐเช็กสาธารณรัฐเช็ก

ประวัติความเป็นมา
สาธารณรัฐเช็ก (อังกฤษ: Czech Republic; เช็ก: Česká Republika) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่ในภูมิภาคยุโรปกลาง พรมแดนทางตอนเหนือจรดประเทศโปแลนด์ ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือจรดเยอรมนี ทางใต้จรดออสเตรีย และทางตะวันออกจรดสโลวาเกีย  สาธารณรัฐเช็กประกอบด้วยภูมิภาคที่เก่าแก่สองส่วน คือ โบฮีเมียและโมราเวีย และส่วนหนึ่งของภูมิภาคที่สาม เรียกว่า ไซลีเชีย ประเทศนี้ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547  เมืองหลวงของประเทศคือ ปราก  เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย เมืองสำคัญอื่น ๆ ของประเทศ ได้แก่ เบอร์โน  ออสตราวา  เปิลเซน ฮราเดตส์กราลอเว  เชสเกบุดเยยอวีตเซ  และอูสตีนาดลาเบม   ดินแดนของสาธารณรัฐเช็กในปัจจุบัน มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปราว 2,000 ปี นับตั้งแต่เมื่อชนเผ่าสลาโวนิก (Slavonic Tribes) หรือชนเผ่าสลาฟ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานแคว้นโบฮีเมียได้พัฒนาเป็นรัฐอิสระเป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชนเผ่าเยอรมันได้อพยพเข้ามายึดดินแดนของเช็กในปัจจุบันเป็นอาณานิคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างวัฒนธรรมเช็กให้มีทั้งลักษณะของชนเผ่าเยอรมันและชนเผ่าสลาฟ กรุงปรากจึงเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย อาทิ โรมาเนสก์ กอทิก เรอเนซองซ์ บารอก รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่าง ๆ ทำให้กรุงปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของเช็กได้อย่างดี ตั้งแต่ สมัยอาณาจักรโรมัน จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ฮับสบูร์ก (ราวศตวรรษที่ 15-18) และองค์การยูเนสโก ได้เลือกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ เช็กยังมีชื่อเสียงและประวัติศาสตร์อันยาวนานด้านการผลิตเบียร์ โดยเฉพาะที่เมืองเปิลเซน (Plzen) กรุงปรากเป็นเมืองที่สำคัญในยุโรปตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันและยุคกลางของยุโรป กษัตริย์ชาลส์ที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมัน ได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยชาลส์ (Charles University) ขึ้นที่กรุงปรากซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปตะวันออก ในช่วงยุคกลาง เช็กอยู่ภายใต้การปกครองของคริสตจักรเช่นเดียวกับดินแดนอื่น ๆ ในยุโรป จนกระทั่งในปี 2069 เช็กจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ฮับสบูร์ก ในศตวรรษที่ 19 เริ่มมีการฟื้นฟู national awareness ซึ่งถึงจุดสูงสุดในปี 2391 เมื่อกรุงปรากเป็นเมืองแรกในอาณาจักรฮัปสบูร์กที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูป และต้องการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1ช่วงสงคราม
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฝ่ายพันธมิตรได้สนับสนุนให้ชาวเช็กและชาวสโลวักสร้างสหพันธรัฐประชาธิปไตยเชโกสโลวะเกียขึ้น ในปี 2461 เนื่องจากเช็กและสโลวักมีภาษาคล้ายคลึงกัน แต่แยกจากกันทางการเมือง เนื่องจากสโลวาเกียเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฮังการี ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เชโกสโลวะเกียเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมมีความก้าวหน้าที่สุดจนติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากชาวสโลวักต้องการแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระจากเช็กซึ่งมีบทบาทเหนือกว่าในเดือนมีนาคม 2482 กองทัพนาซีเยอรมันได้รุกรานแคว้นโบฮีเมียและโมเรเวีย ทำให้เชโกสโลวาเกียสูญเสียความเป็นรัฐเอกราช จนกระทั่งในปี 2488 กองทัพโซเวียตได้ปลดปล่อยดินแดนของเชโกสโลวะเกียจากการปกครองของนาซี ทำให้สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางการเมืองของเชโกสโลวาเกียในเวลาต่อมา และในปี 2491 พรรคคอมมิวนิสต์ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจไว้หลังสงครามพรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลในเชโกสโลวาเกียมาโดยตลอด จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูป ที่เรียกว่า ช่วงฤดูใบไม้ผลิแห่งกรุงปราก (Prague Spring) ภายใต้การนำของนายอเล็กซานเดอร์ ดูบเชค (Alexander Dubček) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตและประเทศอื่นในกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) เกรงว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นภัยคุกคามต่อระบบคอมมิวนิสต์ จึงได้ยกกองกำลังเข้าไปในเชโกสโลวาเกียเมื่อปี 2511 และจัดตั้งระบบคอมมิวนิสต์ที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแนวคิดต่อต้านระบบคอมมิวนิสต์ในเช็กโกสโลวาเกีย
หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายลง เชโกสโลวะเกียได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างสันติ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การปฏิวัติเวลเวต (Velvet Revolution) และนายวาคลัฟ ฮาเวล (Václav Havel) ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านระบบคอมมิวนิสต์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีเชโกสโลวาเกียในปี 2532 รัฐบาลเชโกสโลวะเกียได้มีมติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2536 ให้สลายประเทศเชโกสโลวาเกีย และแบ่งออกเป็นสาธารณรัฐเช็กและสาธารณรัฐสโลวัก (สโลวาเกีย) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า Velvet Divorce ต่อมา นายวาคลัฟ ฮาเวลได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเช็กในปี 2536 และได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2541 จนกระทั่งหมดวาระ (วาระละ 5 ปี) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2546 และนายวาคลัฟ เคลาอุส (Vaclav Klaus) ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสืบต่อ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546

สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมของสาธารณรัฐเช็กนั้น เป็นสิ่งก่อสร้างของชาติเดียวในยุโรปก็ว่าได้ ที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกเลย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ นั้น ถูกระเบิดเสียหายและต้องมีการบูรณะขึ้นมาภายหลังเป็นส่วนมาก ในทางกลับกัน ภายหลังยุคสงครามโลก ชุมชนเก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ยังตกอยู่ภายใต้กำแพงเหล็กของลัทธิคอมมิวนิสต์ จนถึงปี 1993 นี้เอง ที่สาธารณรัฐเช็กจึงได้เปิดตัวออกสู่สังคมโลกจากนั้นมา นักท่องเที่ยวจากทั่วยุโรปต่างใจจดจ่อ ที่จะได้เข้าไปสัมผัสเมืองโบราณที่ถูกซุกซ่อนไว้ใกล้กับพวกเขาอย่างที่สุดแห่งนี้ โดยเฉพาะเมืองสำคัญ อย่างกรุง Prague ที่เป็นเมืองหลวง และเมือง Cesky Krumlov











กรุง Prague นั้นมีมนตร์เสน่ห์หาใดเทียบได้ ปราสาทและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ดูแข็งแกร่งด้วยเหลี่ยมมุมและโครงสร้าง กลับแช่มช้อยด้วยสีและรายละเอียด หลายคนถึงกับเอ่ยชมความลึกลับและหมองหม่นของเมืองหลวงแห่งนี้ ว่ามีพลังดึงดูดพิเศษที่ทั้งลึกลับชวนค้นหา และเซ็กซี่วาบหวามในเวลาเดียวกัน 

มหาวิหารเซนต์วิตัส (St. Vitus Cathedral)
        ตั้งอยู่ในย่านปราสาทปราก สร้างในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 14 โดยมีสถาปนิกเอกชาวฝรั่งเศส Matthias of Arras ชาวสเวเบีย (Swabian) เป็นผู้ออกแบบและควบคุมดูแลคนต่อมา มหาวิหารสไตล์โกธิกแห่งนี้นับได้ว่าเป็นมหาวิหารที่มีความประณีตงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง นับตั้งแต่ประตูแกะสลักลวดลายตระการตา กระจกสีสเตนกลาสบานสูงที่ประดับรอบวิหารล้วนยิ่งขับให้มหาวิหารแห่งนี้ดูโดดเด่น


โบสถ์เซนต์เวนเซสลาส (St. Wenceslas Chapel)
        โบสถ์เซนต์เวนเซสลาสเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารเซนต์วิตัส ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะในแบบโกธิก ภายในได้รับการตกแต่งด้วยภาพเฟรสโกและอัญมณีทีค่ากว่า 1,345 ชิ้น นอกจากนี้ยังเป็นที่เก็บพระศพของบรรดากษัตริย์ ในอดีต



อาหารการกินของสาธารณรัฐเช็ค
อาหารพื้นเมืองของสาธารณรัฐเชคนั้นเป็นอาหารที่ไม่ใกล้เคียงกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร ซึ่งทุกคนคงจะพบกับอาหารมือที่เรียกได้ว่า เป็นอาหารขยะเลยทีเดียว ซึ่งมันจะประกอบไปด้วย ซุปมันฝรั่ง เนื้อหมูอบกับเกี๊ยวและกระหล่ำปรีดอง เกี๊ยวผลไม้ หรือ แอปเปิ้ลสตรูเดล ในขณะเดียวกัน การรับประทานอาหารของชาวเชคนั้นเริ่มหันแนวทางไปสู่การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นแต่การรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมก็ยังเป็นที่นิยมอย่างมากอยู่ และก็ยังคงเป็นอาหารที่มี แคลโลรี่ ไขมัน และน้ำตาลสูง


อาหารประจำชาติเช็ก คือฝันร้ายของชาวมังสาวิรัติ เนื่องจากเป็นอาหารจานเนื้ออุดมไปด้วยคอเลสเตอรอลที่มาพร้อมด้วยแป้งต้ม และมักจะเสิร์ฟกับเบียร์ ถ้าคุณถามชาวเช็กว่าอาหารที่เขารับประทานกันเป็นประจำคืออะไร เกือบทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันได้โดยทันทีว่า "หมู"













ลักษณะภูมิศาสตร์ และภูมิอากาศ ในสาธารณรัฐเช็ค
เช็กเป็นดินแดนที่ประกอบด้วย ที่ราบสูง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าน้ำทะเล 200 เมตร นอกจากนั้นยังประกอบด้วย เนินเขา แม่น้ำรวมถึงทะเลสาบขนาดเล๊กๆอยู่ทั่วไป เช็กเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชหลายชนิด เพราะมีดินที่อุดมสมบูรณ์ มีอากาศแบบอบอุ่นภาคพื้นทวีป มีแร่ธาตุหลายชนิด แร่ที่สำคัญได้แก่ ถ่านหิน และ ยูเรเนียม    ครอบคลุมพื้นที่กว่า ๑๘๗๓๐ ตารางกิโลเมตร ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ของผืนป่าตะวันตกมีตั้งแต่ราบต่ำถึงภูเขาสูง จากเทือกเขาเย็นและเทือกเขาเต่าดำทางด้านทิศเหนือคลุมพื้นที่ภูเขาหินปูน หุบเขาและที่ราบลุ่มและอ่างเก็บน้ำจืดอยู่ส่วนกลาง ลาดลงไปสู่เทือกเขาตะนาวศรีที่ยาวไปจนเชื่อมต่อกับชายแดนพม่า บริเวณพื้นที่แห่งนี้ก่อให้เกิดทั้งแม่น้ำ ลำธาร ถ้ำ หน้าผา น้ำตกและจุดชมภูมิทัศน์ที่สวยงาม  และที่สำคัญยังมีต้นน้ำที่กำเนิดลุ่มน้ำอีกกว่า ๖ แห่งจากลุ่มน้ำหลัก ๒๕ ทั้งหมดในประเทศไทย


สภาพอากาศ
อากาศร้อนมากในหน้าแล้ง มีความชื้นมากในหน้าฝน และค่อนข้างหนาวเย็นในหน้าหนาว นี้เป็นเพียงการสรุปโดยกว้าง ๆ ทั่วไป แต่สำหรับพื้นที่โดยรวมซึ่งอาจยังไม่นัก ซึ่งยังมีข้อยกเว้นอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น  ภูเขาที่คอยปกป้องอุทยานแห่งชาติเอราวัณจากลมมรสุมด้านทิศตะวันออกส่งผลให้ปริมาณฝนโดยเฉลี่ยน้อยลงในขณะที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีฝนตกหนักเนื่องจากสภาพอากาศใกล้หมดฤดูฝน   ฤดูในการท่องเที่ยว ช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการเดินทางไปเยี่ยมชมผืนป่าตะวันตก คือฤดูหนาว แต่สำหรับการชมความสวยงามของน้ำตกและปริมาณอย่างเต็มที่ ฤดูฝนก็จะเหมาะกว่าเนื่องจากระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูงสุด ในบางพื้นที่ อุณหภูมิ อาจสูงขึ้นได้ถึง ๔๐ องศาเซลเซียส ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม และลดลงต่ำถึง ๓ องศาในเดือนธันวาคม

ของที่ระลึกและแหล่งช๊อปปิ้ง


เครื่องแก้วเช็กที่ขึ้นชื่อ เครื่องประดับอัญมณี เบียร์เช็กชั้นยอด เครื่องครัว สินค้าแบรนด์เนมระดับโลก ทั้งหมดนี้จะเป็นสินค้าที่รับประกันคุณภาพและมีราคาที่สมเหตุสมผล
ร้านค้าส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปราก บริเวณจัตุรัสเวนเซสลาส Národní třída, Vinohradská และถนน Pařížská ซึ่งอยู่ใกล้กับจัตุรัสเมืองเก่า นอกจากนี้ กรุงปรากยังมีตลาดใหญ่ๆ หลายแห่งที่คุณสามารถซื้อข้าวของได้ทุกอย่างจริงๆ และยังได้ราคาถูกกว่ามากด้วย มีศูนย์การค้าอยู่ตามแถบชานเมือง (Zličín, Černý Most, Chodov, Letňany) ซึ่งทุกที่สามารถไปถึงได้ทางรถไฟใต้ดิน
     ซื้อของที่ระลึกอะไรดี ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เครื่องแก้วคริสตัล ของเล่นไม้ เครื่องประดับอัญมณี (โกเมนเช็ก) เป็นของที่ระลึกยอดนิยม หุ่นกระบอกและหุ่นชักใยที่ทำจากไม้ตามแบบดั้งเดิมหรือที่ทำจากปูนปลาสเตอร์ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีอีกอย่างหนึ่ง (การทำหุ่นกระบอกเริ่มต้นขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18) ถ้าคุณอยากซื้อเหล้า อาจเลือกเป็น Becherovka ซึ่งเป็นเหล้าสมุนไพรซึ่งมีคุณสมบัติทางยา (ดีสำหรับการย่อยอาหาร) ก็เป็นของที่ระลึกที่แสดงถึงความเป็นเช็กอย่างยิ่ง เครื่องประดับอัญมณีแบบเช็ก (ผลิตโดย JABLONEX) ก็ดังมาก ลองหาลูกปัดอัญมณี ไข่มุกเลียนแบบและเครื่องประดับที่ทำจากแก้ว



อัตราค่าบริการ โดยสายการบินเอทิฮัดแอร์เวย์

 ราคาทัวร์สำหรับเดินทาง เดือน :  เมษายน
วันที่ : 19-26เม.ย. , 30เม.ย.-7พ.ค.
ลักษณะการเข้าพัก
ราคาทัวร์(บาท/ท่าน)
 ผู้ใหญ่ พักห้องคู่ ราคาท่านละ
57,900
 เด็ก 1 ท่าน พักกับผู้ใหญ่ 1 ท่าน
-
 เด็ก 1 ท่าน พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน (มีเตียง)
-
 เด็ก 1 ท่าน พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน(ไม่มีเตียง)
-
 ผู้ใหญ่ ต้องการพักห้องเดี่ยวเพิ่มท่านละ
6,900
 ผู้ใหญ่ 3 ท่านพัก 1 ห้อง ท่านที่สามมีส่วนลด
-

**ราคาดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนหากสายการบินมีการเรียกเก็บภาษีน้ำมันและภาษีสนามบินเพิ่มเติม









แคนเบอร์รา เมืองหลวงประเทศออสเตรเลีย

เมืองแคนเบอร์ราเป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เป็นเมืองที่ดิฉันประทับใจและอยากจะไปเที่ยวชมศิลปะที่เมืองแคนเบอร์รา เพราะที่นี้มีศิลปะวัฒนธรรมตะวันตกหลงเหลืออยู่มากพอสมควร 

 ดื่มด่ำกับงานศิลปะอะบอริจินหลากชนิดที่หอศิลป์แห่งชาติ National Gallery of Australia  ที่นี่มีห้องจัดแสดงผลงานถึง 13 ห้องซึ่งปัจจุบันวางโชว์ชิ้นงานศิลปะมากกว่า 7,500 ชิ้น ทั้งภาพวาดที่เกิดจากการจุด และจิตรกรรมบนเปลือกไม้ ไปจนถึงภาพสีน้ำ สิ่งทอ ภาพพิมพ์ เซรามิกและงานประติมากรรม  เข้าชมห้องต่างๆ เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิทัศน์ ตัวละครในตำนานกาก่อกำเนิดชีวิตและสรรพสิ่งหรือ Dreamtime Legend และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมศิลปะแต่ละประเภท   งานศิลปะที่สำคัญเหล่านี้ถ่ายทอดให้เห็นถึงการดำรงชีวิตและพัฒนาการของวัฒนธรรมตามวิถีชีวิตอันเก่าแก่ที่สุดของโลก 

งานศิลปะอะบอริจินมีความหลายหลากอย่างไม่น่าเชื่อแต่ยังคงความเป็นเอกภาพด้วยเรื่องราวและแนวคิดที่อ้างถึงผืนแผ่นดินและความเชื่อด้านจิตวิญญาณมาตลอด    ขณะเดินเที่ยวชมผลงานสะสมมากมายในหอศิลป์แห่งขาติ National Gallery of Australia คุณจะได้ซาบซึ้งกับงานศิลปะหลากหลายสไตล์ สื่อที่ใช้ และแรงบันดาลใจที่มีร่วมกัน
 ห้องจัดแสดงแต่ละห้องจะแสดงงานศิลปะของชาวอะบอริจินตามช่วงเวลาหนึ่งหรือเขตภูมิภาคหนึ่ง อาทิ ห้องนิทรรศการที่แสดงงานฝีมืออะบอริจินของยุคศตวรรษ 1800   ชมหอก ขลุ่ยดิดเจอริดู เครื่องจักรสาน เครื่องประกอบพิธี และวัตถุบูชา ที่เหลือรอดจากการผุพังตามกาลเวลา ด้วยทักษะและจินตนาการของผู้ประดิษฐ์   อีกห้องหนึ่งจัดแสดงภาพจิตรกรรมบนเปลือกไม้ และงานประติมากรรมในเขต Arnhem Land ตะวันตก ชมภาพเขียนบนผนังที่ดูเหมือนฟิล์มเอ็กซเรย์ซึ่งแปลกตาได้อย่างใกล้ชิดที่อุทยานแห่งชาติ Kakadu National Park และชมภาพบรรพบุรุษในตำนานการก่อกำเนิดชีวิตและสรรพสิ่งในภาพ ที่เขียนด้วยการแรเส้นเงาขวาง 
 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพเขียนยุค Early Western Desert หรือ Papunya School จากชุมชน Papunya อันห่างไกลของเซ็นทรัลออสเตรเลียในระหว่างช่วงปี 1971 ถึง 1974   ด้วยการแนะแนวของ Geoffrey Bardon ครูสอนศิลปะ เด็กๆ ที่นี่และรวมถึงผู้สูงอายุในเวลาต่อมา ได้เริ่มวาดภาพตำนานการก่อกำเนิดชีวิตและสรรพสิ่งลงบนผืนผ้าใบ   ภาพวาดที่เกิดจากการจุดของพวกเขาเป็นจุดเริ่มต้นของสไตล์การเขียนภาพที่ต่อมาได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดน Central Desert และผันเข้าสู่ตลาดงานศิลป์ของออสเตรเลีย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 
 ไปดูว่าศิลปะของชาว Papunya วิวัฒนการอย่างไรในแกลเลอรี่ ซึ่งแสดงภาพเขียนเกี่ยวกับทะเลทราย นับจากปี 1975 เป็นต้นมา   ผลงานเหล่านี้เป็นการวาดจากประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักเป็นสไตล์ที่ใช้สีสันและรูปแบบเชิงนามธรรม เล่าถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยและตัวละครในตำนานการก่อกำเนิดชีวิตและสรรพสิ่ง
ชมภาพจิตรกรรมสีน้ำที่ได้รับการยกย่องของ Albert Namatjira หนึ่งในศิลปินชาวอะบอริจินรุ่นแรกที่นำเทคนิคของทางตะวันตกมาใช้   นอกจากนี้ ภาพอื่นที่แขวนแสดงไว้ยังมีผลงานของศิลปินชาวอะบอริจินจากเขตพันธกิจ Hermannsburg Mission ที่เรียนรู้วิธีการวาดภาพด้วยสีน้ำจาก Namatjira  ภาพเขียนทั้งหมดนี้ล้วนแสดงถึงแบบแผนงานศิลปะในสไตล์ Hermannsburg School 
เรียนรู้เกี่ยวกับภาพมนุษย์ Wandjina ซึ่งเป็นร่างคนที่วาดเป็นแท่งไว้บนผนังหินในเขตภูมิภาค Kimberley ของรัฐเวสเทิร์นตะวันตก และชมผ้าพิมพ์ซิลค์สกรีนซึ่งเป็นงานฝีมือของสตรีเผ่า Anmatyerr และ Alyawarr แห่งเซ็นทรัลออสเตรเลีย   ห้องแสดงภาพห้องหนึ่งอุทิศให้กับงานศิลปะอันมีชีวิตชีวาของหมู่เกาะ Torres Strait  ได้แก่ หน้ากากที่ทำขึ้นอย่างประณีต และธรรมเนียมการทำภาพพิมพ์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังๆ มานี้   ในอีกห้องหนึ่ง คุณสามารถตามรอยเส้นทางงานศิลปะอะบอริจินทั่วทั้งควีนส์แลนด์เหนือและเขต Top End โดยมีทั้งภาพเขียน ประติมากรรมและเครื่องปั้นดินเผา 
 ศิลปินชาวอะบอริจินร่วมสมัย นับตั้งแต่นักถ่ายภาพไปจนถึงศิลปินวาดภาพบนกำแพง ยังนำผลงานอันลือลั่นของตนมาแสดงไว้ในนิทรรศการนี้   ผลงานของพวกเขาเกี่ยวเนื่องกับเรื่องทางการเมืองและมักกระตุ้นเตือนให้คำนึงถึงการแก้ปัญหาในปัจจุบัน   หนึ่งในห้องจัดแสดงผลงานที่ชวนให้รำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สุดคือห้อง Aboriginal Memorial  ห้องนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1988 บ่งบอกช่วงเวลาแห่งการถูกปกครองโดยชาวยุโรปตลอด  2 ศตวรรษ ด้วยโลงศพที่ทำจากท่อนไม้ขุดจำนวน 200 โลง 

ศิลปะตะวันตกยุคหลังลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ถึงสงครามโลกครั้งที่ ๑

ศิลปะตะวันตกยุคหลังลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ถึงสงครามโลกครั้งที่ ๑


ศิลปะลัทธิโฟวิสม์
เป็นศิลปะที่เน้นสีสันโฉ่งฉ่างและแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน                                                                                             มาทีสส์ ศิลปินที่สร้างผลงานศิลปะลัทธิโฟวิสม์ เขาเป็นลูกของพ่อค้าที่มีฐานะดี พ่อของเค้าต้องการให้เป็นทนายความ แต่มาทีสส์เป็นทนายความได้ไม่นาน เมื่อเขาได้เรียนศิลปะตอนที่ป่วยอยู่หลังจากนั้นเขาก็เข้าสู้วงการศิลปะอย่างจริงจัง ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ ภาพเปลือยกับลวดลายเบื่องหลัง ห้องสีแดง 



ภาพมาดามมาทิสส์
                                                                                             
ศิลปะลัทธิเอ็กเพรสชันนิสม์
เป็นศิลปะที่แสดงออกทางศิลปะรูปทรงและสีสันอย่างเสรีตามแรงปรารถนา ศิลปะลัทธิเอ็กเพรสชันนิสม์มีการแพร่หลายในช่วงปลาย C.19 และ ต้น C.20 ศิลปินที่สำคัญในช่วงนั้นได้แก่ มาทีสส์, จูโอลห์, มาร์ค                                                                    ความเคลื่อนไหวของศิลปะลัทธิเอ็กเพรสชันนิสม์ที่สำคัญ 2 กลุ่มคือ กลุ่มสะพาน กลุ่มนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความสับสน ความอัปลักษณ์ และความสกปรกของสังคม จะเน้นการใช้สีภาพที่รุนแรง และกลุ่มม้าสีน้ำเงิน มีแกนนำกลุ่ม คือ วาสิลี แคนดินสกีและฟรอนช์ มาร์ค เป็นการเข้าร่วมกันของศิลปินต่างชาติ ชาวรัสเซียน สวิส อเมริกา ชื่อลัทธิมาจากความนิยมในการเขียนรูปม้าและคนขี้ม้าโดยใช้สีน้ำเงินเป็นหลัก และมีเอ็ดวาส์ด มูงค์ เป็นผู้นำและผู้ที่ให้อิทธิพลแก่ศิลปินกลุ่มเอ็กเพรชสชันนิสม์ เขาเป็นเด็กขี้โรค เลยมีผลงานเกี่ยวกับความเจ็บปวดและความตายปรากฏอยู่มากมาย ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา คือ ภาพเสียงร้องไห้

ภาพ เสียงร้องไห้

ลัทธิคิวบิสม์
ได้แนวความคิดและอิทธิพลการถ่ายทอดสิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างเป็นรูปทรงแนวทางการสร้างสรรค์ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ คือ ตัดทอน ย่อส่วน เพิ่มเติม และเปิดโอกาสให้ผู้ดูมีเสรีภาพในการใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง เน้นความกลมกลืนของ เส้น สี แสงเงา รูปร่าง ปาโบล ปิคัสโช เป็นหนึ่งในศิลปินลัทธิบิสม์ เขาเป็นผู้ที่ศึกษาศิลปะขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองบาร์เชโลนาและ ทำการเดินทางไปศึกษาศิลปะต่อที่ปารีส และไม่กลับมาอีกเลยเขาได้ตายที่ฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ .ภาพเกอนีแค



ศิลปะลัทธินามธรรม
ให้ความสำคัญเรื่องรูปแบบศิลปะแบบศิลปะ อันเกินจากการผสานรวมตัวกันของ เส้น สี แสงเงา รูปร่าง ลักษณะผิว ไม่คำนึงถึงเนื้อหาศิลปะ ศิลปะนามธรรมแบบเป็น 2 กลุ่ม คือ แบบโรแมนติก เน้นศิลปะที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างเสรี อาจมีพื้นฐานอารมณ์มาจาก ความรัก ความเศร้า ความห้าวหาญ และแบบคลาสสิก จะสร้างงานที่ผ่านการไตร่ตรองการวางแผนเน้นศิลปะรูปทรงเลขาคณิตให้อิทธิพลแบบขอบคม



ภาพ The composition
ศิลปะลัทธิฟิวเจอริสม์
เป็นกลุ่มศิลปินอิตาลีที่มีความขัดแย้งกับแนวความคิดทางศิลปะขนบนิยมในประเทศของตนเอง ศิลปะฟิวเจอริสม์เป็นการสร้างผลงานแสดงชีวิตปัจจุบันที่ไม่หยุดนิ่ง ภาพเมืองเติบโตเป็นภาพม้าที่วิ่งเติบเมือง ผู้คนก็วุ่นวายสับสน ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งภาพที่แสดงให้เห็นชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งของศิลปะฟิวเจอริสม์


ภาพ Umberto Boccioni







 

ภาพประทับใจของ Impression Sunrise


อิมเพรสชันนิซึม

มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศิลปะคตินิยมอิมเพรสชันนิซึม พอสรุปได้ดังนี้
  • เป็นไปตามกฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามครรลองของชีวิต สภาพหนึ่งสู่สภาพหนึ่ง ไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ และความคิดร่วมสมัยย่อมเบื่อหน่ายกับสิ่งซ้ำซาก จำเจ มีกฎเกณฑ์ยุ่งยาก ไม่มีอิสระ ไม่มีการท้าทายสติปัญญา คตินิยมศิลปะแบบเก่า ๆ อาทิเช่น นีโอ-คลาสิค โรแมนติด และเรียลลิสม์ ซึ่งเกิดขึ้นและหมดความนิยมลง ล้วนเป็นบทพิสูจน์อันดีสำหรับกฎวิวัฒนาการ อนึ่ง สภาพของสังคม เศรษฐกิจ และ ปรัชญาของชีวิตได้แปรเปลี่ยน ไป คำว่าอิสรภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ เป็นหลักทั่วไปในการแสวงหาทางออกใหม่ ลัทธิปัจเจกชนได้รับการนับถือ ทางด้านเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวเสรีนิยม ศิลปินต้องดำรงชีพอยู่ด้วยตนเองไม่มีข้อผูกพันหรือรับคำสั่งในการทำงานดังแต่ก่อน
  • ความก้าวหน้าทางวิชาการต่าง ๆ รุดไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์การค้นคว้าทฤษฎีแม่สีแสงอาทิตย์เพิ่มเติม และนักวิทยาศาสตร์ชื่อ เชฟเริล (Chevereul) ได้เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีสี เป็นมูลเหตุจูงใจให้ศิลปินเห็นทางใหม่ในการแสดงออก ประกอบกับได้มีการประดิษฐ์กล้องถ่ายรูป ทำให้เขียนภาพเหมือนจริงลดความนิยมลงไป เพราะสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ให้ผลิตผลที่เหมือนจริงและรวดเร็วกว่า
  • การคมนาคมโดยทั่วไปได้รับการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้น ความเคลื่อนไหวถ่ายเททางศิลปวัฒนธรรมของชาติต่างเป็นไปโดยสะดวก ทำให้ศิลปินมีทรรศนะกว้างขวาง มีความเข้าใจต่อโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1867 มีการแสดงนิทรรศการศิลปกรรมของญี่ปุ่นขึ้นในปารีสซึ่งก่อให้เกิดแรงดลใจต่อศิลปินหนุ่มสาว หัวก้าวหน้าในยุคนั้นอย่างมากเป็นต้น
  • มีการพัฒนาสืบทอดความคิดของศิลปินรุ่นก่อนหน้านี้ ได้แก่พวกเรียลลิสต์ ซึ่งนิยมสร้างจากความเป็นจริงที่สามารถมองเห็นได้ และพวกจิตรกรหนุ่มกลุ่มธรรมชาตินิยม โดยเฉพาะพวกกลุ่มบาร์บิซง ซึ่งรวกันไปอยู่ที่หมู่บ้านบาร์บิซง ใกล้ป่าฟงแตนโบล อยู่ไม่ห่างจากปารีสเท่าใดนัก กลุ่มนี้จะยึดถือเอาธรรมชาติ อันได้แก่ ขุนเขาลำเนาไพร เป็นสิ่งที่มีความงามอันบริสุทธิ์และมีคุณค่าสูงสุดพวกเขาจะออกไปวาดภาพ ณ สถานที่ที่ต้องการ ไม่มัวนั่งจินตนาการอยู่ในห้องดังแต่ก่อน นอกจากนี้ยังได้รับแรงดลใจจากจิตรกรอังกฤษสองคน คือ จอห์น คอนสเตเบิล และวิลเลียม เทอร์เนอร์ ซึ่งมีแนวการสร้างงานคล้ายกลับกลุ่มบาร์บิซง

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ทัวร์ยุโรป เยอรมัน เช็ค ออสเตรีย 8วัน
รายการเดินทาง
วันแรก กรุงเทพฯ
17.30 น. คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ Q ประตู 8-9 โดยสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ โดยเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยอำนวยความสะดวก 
20.35 น. ออกเดินทางสู่ นครแฟร้งค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน โดยสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ EY401
วันที่สองแฟร้งค์เฟิร์ต - นูเรมเบิร์ก (เยอรมัน) - ปราก (สาธารณรัฐเช็ค)
00.05 น. เดินทางถึงสนามบินอาบูดาบี เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง 
02.15 น. ออกเดินทางต่อสู่นครแฟงเฟิร์ต ประเทศเยอรมัน โดยสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ EY 001 
07.00 น. เดินทางถึง นครแฟร้งค์เฟิร์ต เมืองท่าทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมัน จากนั้นนำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและตรวจรับสัมภาระ จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเนินร์แบร์ก หรือนูเรมเบิร์ก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) อีกหนึ่งเมืองสวยน่ารักๆ ของเยอรมัน นำท่านเดินเล่นในเมืองเก่าที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม 
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง 
บ่าย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ กรุงปราก นครหลวงแห่งสาธารณรัฐเช็ค (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมง) กับอดีตที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโบฮีเมีย ตั้งแต่ยุคสมัยของกษัตริย์ชาร์ลสที่ 4 ได้สร้างให้ปรากกลายเป็นหนึ่งในนครที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของยุโรป 
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม NH Prague Hotel หรือระดับเทียบเท่า

วันที่สาม ปราก - เชสกี้ คลุมลอฟ (สาธารณรัฐเช็ค)
เช้า รับประทานอาหารที่โรงแรม
จากนั้นนำท่านชมความสวยงามของปราสาทแห่งกรุงปราก ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวา อดีตที่ประทับของจักรพรรดิแห่งโบฮีเมีย ปัจจุบันเป็นที่ทำการของคณะรัฐบาล นำท่านชมวิวสวยบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นตัวเมืองปราคที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ที่ท่านจะเห็นถึงชื่อที่มาของเมืองแห่งปราสาทร้อยยอด ที่ท่านจะเห็นยอดแหลมของอาคารต่างๆมากมาย รวมทั้งยอดโบสถ์ต่างๆอีกด้วยเดินผ่าน เขตอุทยานที่สวยงาม ชมอาคารสำคัญๆมากมาย ก่อนผ่านเข้าไปในเขตของตัวปราสาท ที่มีมหาวิหารเซนต์วิตัส วิหารประจำราชวงศ์ซึ่งสร้างด้วยศิลปะแบบโกธิค ที่ประดับด้วยกระจกสีแบบสแตนกลาสอย่างสวยงาม นำท่านชม เดอะโกลเดนเลน สถานที่เคยเป็นร้านขายของในยุคแรกๆ และเปลี่ยนมาเป็นที่พักขององครักษ์ มหาดเล็กและปัจจุบันเป็นแกลเกอรี่ หรือร้านขายของที่ระลึกต่างๆ นำท่านเดินลงจากปราสาทแห่งกรุงปราค ที่ท่านจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่สวยงาม สู่ สะพานชาร์ลส ที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวา สัญลักษณ์ที่สำคัญของปราคที่สร้างขึ้นในยุคของกษัตริย์ ชาร์ลสที่ 4 ปัจจุบันเป็นสถานที่ที่เหล่าศิลปินต่างๆ นำผลงานมาแสดงและขายให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจ ก่อนนำท่านชมเมืองย่านโอลด์ทาวน์สแควร์ (Old Town Square) ย่านจัตุรัสเมืองเก่าที่มีบรรยากาศคึกคักตลอดเวลา เพราะเต็มไปด้วยร้านขายของนานาชนิด รวมทั้งร้านคริสตัล ซึ่งโบฮีเมียคริสตัลนั้นเป็นที่รู้จักและให้การยอมรับกันทั่วยุโรป แม้แต่บรรดาพระราชวังต่างๆก็นิยมนำไปเป็นเครื่องประดับ หรือช่อโคมระย้าที่งดงาม รอชมนาฬิกาโบราณที่จะมีตัวตุ๊กตาโบราณออกมาแสดงในทุกชั่วโมง อิสระเดินเล่นช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ.ภัตตาคารพื้นเมือง
บ่าย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง เชสกี้ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) นำท่านชมเมืองโบราณที่มีอายุมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 จากการก่อตั้งเมืองของตระกูล Rozmberk จนกลายมาเป็นของอาณาจักรโบฮีเมีย และบาวาเรีย สุดทเมืองก็กลับมาอยู่ในการปกครองของตระกูล Schwarzenberg และครุมลอฟก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ จากการที่อยู่ในเส้นทางการค้าขายในอดีต และยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในเมืองมรดกโลกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูปภายนอกปราสาทครุมลอฟ ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงและต่อเติมในหลายยุคสมัย เปลี่ยนมือเจ้าของหลายครั้งหลายคราแต่ก็ยังคงความงดงามของปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในคุ้งน้ำวัลตาวา (ปราสาทจะปิดเมื่อย่างเข้าฤดูหนาว)
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ.ภัตตาคารจีน
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าที่พัก โรงแรม Old Inn หรือเทียบเท่า

วันที่สี่ เชสกี้ คลุมลอฟ - เวียนนา (ออสเตรีย) – ซาลสเบิร์ก
เช้า รับประทานอาหารที่โรงแรม จากนำท่านเดินทางข้ามพรมแดนจากสาธารณรัฐเช็ค สู่ กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) ผ่านชมทัศนียภาพระหว่างทาง
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ.ภัตตาคารพื้นเมือง
บ่าย จากนั้นนำท่านชมความงดงามของ พระราชวังเชรินน์บรุนน์ พระราชวังฤดูร้อนแห่งราชวงศ์ฮับสเบิร์กที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่ไม่แพ้พระราชวังใดในยุโรป ที่มีการตกแต่งห้องด้วยศิลปะในหลายรูปแบบทั้งบาร็อค,ร็อคโคโค หรือศิลปะประยุกต์จากทางเอเซีย และยังมีเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ ประดับอยู่อย่างสวยงาม  
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ซาลสเบิร์ก (Salzburg) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) เมืองแห่งศิลปินเพลง เมืองซึ่งเป็นสถานที่ของเด็กอัจฉริยะโมสาร์ตที่เพิ่งจะฉลองครบรอบ 250 ปี ในปี 2006 ที่ผ่านมาและเมืองนี้ยังดังจากการเป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์เพลงอมตะ "มนต์รักเพลงสวรรค์" หรือ The Sound of Music
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก Mercure City Hotel หรือระดับเทียบเท่า

วันที่ห้า ซาลสเบิร์ก - อินน์สบรูค (ออสเตรีย)
เช้า รับประทานอาหารที่โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินข้ามแม่น้ำซาลสอัคช์ เพื่อเดินเล่นชมเมืองเก่าของซาลสเบิร์ก สู่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อถ่ายรูปคู่กับอนุเสาวรีย์โมสาร์ต 
ชมมหาวิหารใหญ่กลางเมือง เดินเล่นบนถนนเกไตรเด้ ย่านช้อปปิ้งที่มีบ้านเกิดของโมสาร์ต ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 250 ปีเมื่อปี 2006 ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้ด้วย และชมสวนมิราเบล ที่งดงามซึ่งเดิมเป็นสวนในพระราชวังเดิม บนถนนฝั่งขวาจะเป็นบ้านเกิดของคีตกวีชื่อดังก้องโลก (เทศบาลเมืองไม่อนุญาตให้นำรถบัสนำนักท่องเที่ยวเข้าในเขตบริเวณเมืองเก่า)
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
บ่าย นำท่านเดินทางสู่เมือง อินน์สบรูค (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชั่วโมง) เมืองหลวงแสนสวยแห่งแคว้น ทิโรลที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอินส์ และยังเป็นเมืองหลวงแห่งเทือกเขาแอลป์ ห้อมล้อมด้วยแนวภูเขาสูงที่สวยงาม ซึ่งเมืองอินน์สบรูคนี้ยังเป็นเมืองเอกในสามเมืองท่องเที่ยวของประเทศออสเตรีย รองจากเมืองเวียนนาและซาลสเบิร์ก เดิมเป็นเมืองตากอากาศของจักรพรรดิแม็กซิมิเลี่ยนแห่งราชวงศ์ฮอฟสบวร์ก จากนั้นนำท่านเดินเล่นบริเวณ จัตุรัสเมืองเก่า ที่มี พระตำหนักหลังคาทองคำ ที่มีอายุร่วม 450 ปีเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญและมีอาคารบ้านเรือนในสมัยก่อนที่ปัจจุบันเป็นร้านค้าหลากหลายประเภท เดินเล่นช้อปปิ้งโดยเฉพาะซิลเวอร์คริสตัล สวารอฟสกี้ ที่มีฐานการผลิตอยู่ในเมืองวัทเทนส์ใกล้อินน์สบรูค ซึ่งหากเป็นฤดูหนาวจะมีการจัดนิทรรศการพิเศษ Winter Wonderland หรือมหัศจรรย์ฤดูหนาวที่ใช้คริสตัลของสวารอฟสกี้ตกแต่งอย่างสวยงาม ให้เวลาท่านเดินเล่นเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ตามอัธยาศัย อาทิ ของที่ระลึก หรือ คริสตัลชวาลอฟสกี้ เป็นต้น
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม Innsbruck Hotel หรือระดับเทียบเท่า

วันที่หก อินน์สบรูค (ออสเตรีย) - ฟุสเซ่น- การ์มิซ (เยอรมัน)-อินน์สบรูค (ออสเตรีย)
เช้า รับประทานอาหารที่โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองฟุสเซ่น (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) เมืองที่ตั้งอยู่ทางแคว้นบาวาเรียตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ติดกับชายแดนประเทศออสเตรีย เป็นเมืองเก่ามาตั้งแต่ครั้งจักรวรรดิโรมัน และเป็นที่ตั้งของปราสาทของกษัตริย์บาวาเรียและยังแวดล้อมไปด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่ จากนั้นนำท่านเข้าชม "ปราสาทนอยชวานสไตน์" ซึ่งอยู่บนเนินเขาสูงที่สร้างจากบัญชาของกษัตริย์ลุดวิคที่ 2 ที่ต้องการสร้างปราสาทตามเทพนิยายของริชาร์ด วากเนอร์ ศิลปินคนโปรดของพระองค์ นำท่านชมวิวสวยจากสะพานแมรี่จุดที่ถ่ายรูปกับปราสาทนี้ได้ดีที่สุด ดั่งรูปโปสเตอร์ โปสการ์ดต่างๆ ซึ่งความงามนี้ยังทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทต้นแบบที่วอลท์ดีสนีย์ได้นำมาสร้างเป็นปราสาทในภาพยนตร์การ์ตูนและเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทดิสนีย์ด้วย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ. ภัตตาคารพื้นเมือง
บ่าย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองการ์มิซ หรือ เมืองการ์มิช พาร์เท่น เคียร์เซ่น 
(ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเขาซุกสปิตเซ่ยอดเขาสูงสุดของเยอรมนี บ้านเรือนสวยงามศิลปะแบบบาวาเรียนรอคโคโค เมืองนี้แบ่งเป็น 2 เขต คือ เขต Garmisch และเขต Partenkirchen เมืองนี้งดงามด้วยภาพวาดบนกำแพงบ้านที่เดินชมไม่รู้เบื่อ ควบคู่กับการพบเจอชาวเมืองที่ยังใส่ชุดพื้นเมือง กางเกงสั้นแค่เข่า เสื้อปักลูกไม้ เป็นปกติวิสัย นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมกีฬากลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เทนนิส กอล์ฟ ล่องแพ เล่นสเก็ต สกี ไปจนถึงสโนบอร์ด สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางกลับสู่เมืองอินน์สบรูค
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ.ภัตตาคารพื้นเมือง
จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม Koenigshof Hotel หรือเทียบเท่า

วันที่เจ็ด อินน์สบรูค (ออสเตรีย) - มิวนิค (เยอรมัน)
เช้า รับประทานอาหารที่โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ นครมิวนิค (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.15 ชั่วโมง)
เมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย แคว้นตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิซาร์ เป็นศูนย์กลางความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเงิน การธนาคาร และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเยอรมัน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และมีอาร์ตแกลเลอรี่ดีที่สุดด้วย เชิญเที่ยวชมมหานครแห่งนี้ ก่อตั้งในคศ.1158 มีบรรยากาศรื่นรมย์ เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สวยงามจากยุคสมัยอันรุ่งเรือง แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าอันทันสมัยมากมาย
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
บ่าย นำท่านชมเมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมในหลายรูปแบบ ไม่ว่าแบบเรอเนซองส์ คลาสสิคหรือทันสมัย ให้ท่านถ่ายภาพอันงดงามของสถาปัตยกรรมพระราชวังนิมเฟนเบิร์ก ผ่านชมสถานที่สำคัญๆ มากมาย อย่างโรงละครโอเปร่า หน่วยงานราชการต่างๆ บนถนนสายสำคัญ อย่างถนนแม็กซิมิเลียน ถนนฟรานซ์โจเซฟ ฯลฯ ก่อนนำท่านสู่บริเวณ จัตุรัสมาเรียน ย่านใจกลางเมืองเก่าของมิวนิค ที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองเก่าที่งดงามด้วยศิลปะโกธิค และวิหารแม่พระ โบสถ์ใหญ่ที่โดยมีโดมเป็นรูปทรงคล้ายหัวหอมใหญ่ และให้ท่านได้เดินเล่นช้อปปิ้งเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ. ภัตตาคารจีน สมควรแก่เวลานำท่านเตรียมตัวเดินทางสู่สนามบินนครมิวนิค
23.20 น. ออกเดินทางจากนครมิวนิค โดยสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ EY 004

วันที่แปด กรุงเทพฯ
07.20 น. เดินทางถึงสนามบินอาบูดาบี เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง 
10.25 น. ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯโดยสายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ EY404 
19.50 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ